ข่าวนี้ย้อนหลังไปวันสองวัน โดย Twitter ได้รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสล่าสุด (มกราคม-มีนาคม 2014) ผลออกมาดูเหมือนนักลงทุนไม่ค่อยปลื้มนัก
ปัญหาของ Twitter ซึ่งเราเคยพูดถึงตั้งแต่ไตรมาสที่แล้ว ในแง่ความเป็นบริษัทที่ต้องเพิ่มมูลค่า ทำกำไร ก็คือบริษัทมีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นจริง แต่กลับไม่ทำรายได้เพิ่มขึ้นแบบแปรผันตามกัน ที่น่ากังวลกว่าคือตัวเลขผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นแต่ก็ไม่ร้อนแรงแบบคู่แข่งรายอื่น
พูดถึงตัวเลขการเงินก่อน
- รายได้รวม 250 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นถึง 119% จาก Q1/2013
- กำไรสุทธิ 183 ล้านดอลลาร์
- รายได้จากโฆษณา 226 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 125%
- รายได้จากโฆษณาบนมือถือคิดเป็น 80% ของรายได้รวม
ตัวเลขในส่วนผู้ใช้งาน
- มีผู้ใช้งานเป็นประจำทุกเดือน 225 ล้านคน ณ เดือนมีนาคม 2014 เพิ่มขึ้น 25%
- ผู้ใช้งานผ่านมือถือมี 198 ล้านคน เพิ่มขึ้น 31% คิดเป็น 78% ของผู้ใช้ทั้งหมด
รายได้เพิ่ม คนใช้เพิ่ม มีกำไรด้วย แต่ปัญหาใหญ่ของ Twitter ยังคงอยู่ อย่างแรกคืออัตราการเติบโตของผู้ใช้งาน Twitter ยังมีภาพขาลงชัดเจนมาก หากยังอยู่ในแนวโน้มนี้ Twitter อาจเข้าสู่จุดอิ่มตัวได้ในอนาคต ขณะที่คู่แข่งอย่าง Facebook ขานั้นมีคนใช้ระดับพันล้านคน หรืออย่าง LinkedIn ก็มากกว่า 300 ล้านคน

ปัญหาอีกข้อคือเรื่องเงินๆ ทองๆ โดยตัวเลขอัตราการดู Timeline (Timeline View) ซึ่งมีผลมากเพราะเป็นจุดแสดงโฆษณา ตัวเลขนี้อยู่ที่ 157,000 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นจาก Q4/2013 แต่ก็ยังต่ำกว่า Q3/2013 และเมื่อเฉลี่ยออกมาเป็นรายได้ต่อ Timeline View หนึ่งพันครั้ง ตัวเลขนี้กลับลดลง ทั้งที่ Twitter มีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น (อย่างไรก็ตามแนวโน้มนี้เหมือน Q1/2013)

ความท้าทายใหญ่ของ Twitter คือการหนีจากภาพโซเชียลมีเดียแบบใช้กันเฉพาะกลุ่ม ให้มาเป็นผลิตภัณฑ์กระแสใหญ่กว่านี้ ซึ่งซีอีโอ Dick Costolo ยังยืนยันว่า Twitter เป็นกระแสหลักอยู่แล้ว เห็นได้จากงานประกาศรางวัลออสการ์ ที่ Twitter เป็นเครื่องมือสำคัญ รวมทั้งรายการโทรทัศน์จำนวนมากก็นิยมใช้ Twitter กันมากกว่า
นี่เป็นโจทย์ใหญ่ของ Twitter ซึ่งเราคงได้เห็นการพัฒนาปรับปรุงที่มากยิ่งขึ้นจากนี้ครับ
ที่มา: Twitter และ Business Insider