Twitter เพิ่งรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 4 ของปี 2014 ไปเมื่อคืนนี้ ใครที่ติดตามตัวเลขของ Twitter มาโดยตลอดก็จะทราบว่า ความท้าทายของ Twitter ด้านหนึ่งก็คืออัตราการเติบโตที่ช้าลงมาก ซึ่งผลในไตรมาสที่ผ่านมาปัญหานี้ก็ยังคงอยู่
เริ่มด้วยตัวเลขทางการเงินก่อน
- รายได้ในไตรมาส 4 อยู่ที่ 479 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 97% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2013
- ขาดทุนสุทธิ 125 ล้านดอลลาร์
- รายได้จากโฆษณาบนมือถือคิดเป็น 88% ของรายได้รวม
- รายได้จากโฆษณาในตลาดนอกอเมริกา คิดเป็น 34% ของรายได้รวม
มาดูตัวเลขด้านผู้ใช้งานกันบ้าง
- จำนวนผู้ใช้งานเป็นประจำทุกเดือน (Monthly Active Users – MAUs) อยู่ที่ 288 ล้านคน เพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อน
- Twitter ระบุว่าผู้ใช้งานกลุ่มนี้หายไปถึง 4 ล้านคน เนื่องจากบั๊กบน iOS 8 (รายละเอียดอยู่ด้านล่าง)
- ผู้ใช้งานผ่านมือถือคิดเป็น 80% ของผู้ใช้งานรวม
- จำนวนการดู Timeline (Timeline View) รวม 182,000 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้น 23%
- อัตรารายได้โฆษณาต่อการดู Timeline หนึ่งพันครั้ง คิดเป็น 2.37 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 60%
Anthony Noto ซีเอฟโอ Twitter เปิดเผยรายละเอียดผลการดำเนินงานเพิ่มเติม ยอมรับว่าไตรมาสที่ผ่านมา Twitter มีอัตราการเติบโตต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์บริษัท ซึ่งเห็นได้กราฟอัตราการเติบโตระดับไตรมาสเทียบไตรมาส ซึ่งมีผู้ใช้งานเติบโตเพียง 1.4% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3
ส่วนปัญหาที่ผู้บริหาร Twitter บอกว่าจำนวน users จริงๆ ควรจะเยอะกว่านี้แต่เพราะเจอปัญหาบั๊กบน iOS 8 นั้น Twitter อธิบายเพิ่มเติมว่า users ที่หายไปราว 3 ล้านคนเนื่องจากการเปลี่ยนระบบ Shared Links ของ Safari บน iOS 8 ที่แตกต่างไปจากบน iOS 7 นอกจากนี้ยังกระทบอีก 1 ล้านคนจากการที่มีคนลบแอพ Twitter หลังอัพเดตเป็น iOS 8
อย่างไรก็ตามการอธิบายเหตุผลดังกล่าวของ Twitter ก็ทำให้ผู้สื่อข่าวหลายคน (โดยเฉพาะสาย Apple) ระบุว่าไม่สมเหตุสมผล และ Twitter จริงๆ ควรแก้ปัญหาสำคัญคือ user ใหม่ที่เพิ่งเริ่มเล่นไม่รู้จะเล่นอย่างไร สุดท้ายก็เลิกเล่นไปเลยมากกว่า
https://twitter.com/markgurman/status/563463219361353728
Why Twitter's Growth Is Slow:
1. People tried, gave up
2. Starting with 0 followers sucks
3. Many think they lack "important" things to say— Josh Constine – SignalFire (@JoshConstine) February 5, 2015
ความท้าทายของ Twitter จึงยังดำเนินต่อไปครับ
ที่มา: Twitter, TechCrunch และ Business Insider