Facebook รายงานผลประกอบการ ประจำไตรมาสแรกของปี 2016 ภาพรวมยังคงการเติบโต ขณะเดียวกัน Facebook ก็เปิดเผยแผนในอนาคตระยะยาวภายใน 10 ปีข้างหน้าด้วย มาดูรายละเอียดกันครับ
ก่อนอื่นเริ่มต้นด้วยตัวเลขเงินๆ ทองๆ เช่นเคย มีดังนี้
- รายได้รวม 5,382 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นถึง 51.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน
- กำไรสุทธิ 2,229 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 87.5%
- รายได้จากโฆษณาเฉพาะบนมือถือคิดเป็น 82% ของรายได้จากโฆษณา เทียบกับ 73% เมื่อปีก่อน
ส่วนตัวเลขจำนวนผู้ใช้งานก็ยังเติบโตต่อไป
- ผู้ใช้งานเป็นประจำทุกวัน (DAUs – Daily active users) 1,090 ล้านคน เพิ่มขึ้น 16%
- ผู้ใช้งานเป็นประจำทุกวันผ่านมือถือ อยู่ที่ 989 ล้านคน เพิ่มขึ้น 24%
- ผู้ใช้งานเป็นประจำทุกเดือน (MAUs – Monthly active users) อยู่ที่ 1,654 ล้านคน เพิ่มขึ้น 15%
- ผู้ใช้งานเป็นประจำทุกเดือนผ่านมือถือ อยู่ที่ 1,508 ล้านคน เพิ่มขึ้น 21%
- ผู้ใช้งานเป็นประจำทุกเดือนผ่านมือถือเพียงอย่างเดียวอยู่ที่ 894 ล้านคน
ซีอีโอ Mark Zuckerberg กล่าวในเอกสารแถลงผลประกอบการว่า Facebook ยังคงโฟกัสกับแผน 10 ปีข้างหน้าต่อไป เพื่อให้ทุกคนในโลกมีอำนาจที่จะแบ่งปันเรื่องใดก็ได้กับใครก็ตามในโลกนี้
ออกหุ้นคลาส C เพื่อรองรับแผนดำเนินงานในระยะยาว
ประเด็นสำคัญที่ Facebook แถลงวันนี้ควบคู่กับผลประกอบการ ก็คือการประกาศออกหุ้นสามัญ Class C ให้กับผู้ถือหุ้นเดิม อธิบายง่ายๆ ว่าหุ้นประเภทนี้จะมีสิทธิในฐานะผู้ถือหุ้น Facebook แต่จะไม่มีสิทธิออกเสียงในการตัดสินใจต่างๆ ซึ่ง Zuckerberg ระบุถึงการออกหุ้นแบบนี้ว่า สืบเนื่องจากการที่เขาประกาศยกหุ้น 99% ให้มูลนิธิ Chan Zuckerberg Initiative เพื่อการกุศล แต่ทั้งนี้หุ้นดังกล่าวอาจถูกซื้อขายเพื่อเข้ามาแทรกแซงกิจการ ดังนั้นเพื่อรักษาอำนาจให้ Facebook ยังเป็นองค์กรที่มีเขาเป็นผู้นำในการตัดสินใจและดำเนินงานตามแผนระยะยาวได้ต่อไป จึงมีการออกหุ้น Class C ดังกล่าวออกมา (การออกหุ้นแบบนี้ Google ก็เคยทำ)
เพื่อให้เห็นภาพ Mark Zuckerberg อธิบายว่า หาก Facebook มีรูปแบบเหมือนบริษัทมหาชนขนาดใหญ่ ดีลประเภทซื้อกิจการทันด่วนแบบ Instagram ก็คงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ง่ายๆ หรือ Facebook อาจยอมขายกิจการให้ Yahoo! ตั้งแต่เมื่อนานมากแล้ว
ในช่วงแถลงผลประกอบการกับนักวิเคราะห์ ยังมีประเด็นอื่นที่น่าสนใจดังนี้
- Facebook มีพนักงาน 13,6000 คน
- ซีโอโอ Sheryl Sandberg กล่าวถึงเทรนด์วิดีโอว่า Facebook มีการเติบโตถึง 3 เท่าตัว ส่วน Instagram ก็มีคนดูวิดีโอมากขึ้น 40%
- อัตราค่าโฆษณาเฉลี่ยบน Facebook เพิ่มขึ้น 5% ส่วน Impression เพิ่มถึง 50%
- ค่าเฉลี่ยผู้ใช้ Facebook ใช้เวลาบนแพลตฟอร์ม 50 นาทีต่อวัน (Facebook+Instagram+Messenger ไม่รวม WhatsApp)
ที่มา: Facebook, Mark Zuckerberg และ Business Insider