เดี๋ยวนี้การทำร้านค้าบน Social Network (โดยเฉพาะเปิดหน้าร้านผ่าน Facebook Page) เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะง่าย และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้รวดเร็วกว่าทำเว็บไซต์เอง บางทั่นเพิ่งเป็นแม่ค้าหัดใหม่ มาเริ่มเปิดร้านออนไลน์ผ่าน Facebook เป็นที่แรก ก็อาจจะไม่เข้าใจถึงความคิดของลูกค้าที่มาซื้อของ (สินค้าชั้นก็เหมือนกับร้าน B แต่ทำไมลูกค้าไม่ซื้อร้านชั้นล่ะเนี่ย!!) วันนี้เลยมี Infographic มาให้ดูกันฮับ ว่าศาสตร์แห่งการทำร้านค้าออนไลน์เนี่ย จะต้องอาศัยจิตวิทยาอะไรดึงดูดใจ (และเงิน) ของคุณลูกค้ากันบ้าง
ต้นฉบับ Infographic นี้ มี 6 ข้อของการทำ Social Commerce ให้เกิดผลสูงสุด แต่ตัดตอนเอามาในส่วนที่เข้าใจเท่านั้นนะฮิ
มีรีวิวจากลูกค้าอื่นๆ
เค้าว่ากันว่า 77% ของผู้ที่ชอบซื้อของออนไลน์เนี่ย จะอ่านรีวิวจากผู้ใช้อื่นๆ ก่อนทำการซื้อสินค้าในร้านนั้นๆ
รีวิวที่ว่าก็่เช่น ได้รับของแล้ว รวดเร็วทันใจมาก สินค้าที่ได้รับมีคุณภาพดี มีการแพคหีบห่อให้อย่างทะนุถนอม บลาๆ ไรงี้
มีสินค้าหายาก, มีโปรโมชั่นในบางช่วงเวลา
ลูกค้าหลายๆ คนก็ชอบความท้าทาย เพราะงั้นก็ลองจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายบ้าง เช่น เอาสินค้ามาลดพิเศษ!! ให้จองพิเศษ!! เฉพาะวันนี้เวลานี้เท่านั้น!! รับรองคนมาจองกันอุ่นหนาฝาคั่งแน่ๆ
มีเนื้อหาอื่นๆ ให้กด Like บ้าง
ไม่ใช่ว่าเป็นร้านค้าก็จะลงแต่สินค้าอย่างเดียว ถ้าคุณเปิดร้านขายเสื้อผ้า อาจจะหาฮาวทูแต่งตัวยังไงให้ดูดีมาลงบ้าง ถ้าคุณเปิดร้านขายกระเป๋า นาฬิกา ก็อาจจะลงวิธีดูแลรักษานาฬิกาดังกล่าวบ้าง ถ้ามี content อื่นๆ ที่ทำให้คนกด Like มากเท่าไหร่ โอกาสที่ Page หน้าร้านของเราจะถูกคนอื่นเห็นก็มีมากขึ้นเท่านั้นนะจ๊ะ
เชื่อถือได้
ร้านไหนมีความน่าเชื่อถือ ก็จะยิ่งมีคนไว้ใจที่จะซื้อของมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อถือที่มาจากการรีวิวของลูกค้าเอง หรือสร้างความน่าเชื่อถือด้วยวิธีอื่นๆ เช่น โชว์เลยว่า Admin ของ Page นี้ เป็นบุคคลมีตัวตนจริงๆ ไม่ชิ่งเอาเงินเข้ากลีบเมฆแน่ๆ ก็ตามที
เชื่อว่าลูกค้าหลายๆ คน ยอมซื้อของร้าน B ที่แพงกว่าร้าน A แต่เชื่อถือได้ว่าซื้อแล้วได้ของดี ไม่มีโกง แน่ๆ อะไรงี้ฮับ
ทั้งนี้ ขอเสริมบางข้อในการทำ Facebook Shop ของเราให้ดูเชื่อถือได้และน่าจับจ่ายใช้สอย (สำหรับคุณลูกค้า) ตามนี้ฮับ
มี Information บอกชัดเจน ว่าเป็นร้านขายอะไร, มีหน้าร้านจริงๆ ไหม ถ้าไม่มี มีเว็บไซต์ไหม
ลง Contact Information ให้ครบถ้วน (เบอร์โทรศัพท์, อีเมล) พร้อมระบุวันเวลาที่สามารถติดต่อได้
ลงเวลาตอบกลับไว้เลยว่า ถ้าโทรมาแล้วแม่ค้าไม่รับ แม่ค้าจะโทรกลับเองนะจ๊ะ หรือถ้าส่งเมลมา รอเมลตอบกลับไม่เกินครึ่งวัน อะไรก็ว่าไป
มีลิงก์ไปยังหน้าสินค้า, วิธีสั่งซื้อสินค้า + โอนเงินสินค้า ให้ชัดเจน (ไม่จำเป็นต้องทำ Facebook App Tab แต่ให้มีลิงก์ไปยังหน้า Photo ในส่วนของ Info นี่แหละ)
ในหน้า Photos สินค้า ให้เขียนชื่ออัลบั้มให้ชัดเจนว่า สินค้านี้มีขายเฉพาะเดือนนี้, สินค้าลอตที่ xxx, สินค้าพรีออเดอร์ประจำเดือน, สินค้าพร้อมส่ง ฯลฯ อะไรก็ว่าไป
ในกรณีที่สินค้าอัลบั้มนั้นหมดไปแล้ว อาจจะลบอัลบั้มนั้นทิ้ง หรือแก้ชื่ออัลบั้มเป็น Sold Out พร้อมใส่รูปภาพ Thumbnail แบบในภาพ
ในรูปภาพสินค้า ใส่ข้อความให้ชัดเจนว่าสินค้านี้ จอง, พรีออเดอร์, หรือพร้อมส่ง (พร้อมส่งมีกี่ชิ้น) พร้อมบอกขนาดของสินค้า กว้างxยาวxสูง บลาๆ พร้อมลงราคาไว้เลยว่าสินค้านี้ราคาเท่าไหร่
(หมายเหตุ: เห็นบางร้านชอบลงสินค้าแบบไม่บอกราคา ก็จะมีลูกค้าหลายๆ คนมาถามว่าราคาเท่าไหร่ แล้วแม่ค้าก็จะไปบอกใน Inbox ของลูกค้าอีกที คือแม่ค้าอาจจะมีเหตุผลที่ไม่สามารถลงราคาสินค้าได้ แต่ในฐานะของลูกค้า เวลาเห็นร้านค้าที่ทำแบบนี้แล้วรู้สึกระแวงแคลงใจและไม่อยากซื้ออยู่เหมือนกันนะ)
สร้างวิธีการสั่งซื้อสินค้าหรือช่องทางติดต่อสอบถามของลูกค้าให้ชัดเจนไปเลยว่าจะเลือกช่องทางไหน จะถูกใจสินค้าแล้วไปอีเมลสั่งซื้อของ หรือถูกใจสินค้าแล้วกรุณา Add แม่ค้าเพื่อสื่อสารกันใน Inbox ก็ว่ากันไป
กรณีโอนตังค์และส่งสินค้าเรียบร้อยแล้ว ก็อีเมล (หรือส่ง Facebook Message) บอกลูกค้าว่า ส่งของให้แล้วนะจ๊ะ (พร้อมบอกรหัส Track การส่งสินค้าจากไปรษณีย์) แล้วก็หยอดไปว่า ถ้าได้ของแล้วถูกใจไม่ถูกใจยังไง ก็มาคอมเมนต์บอกกันหน่อยใน Facebook Page ไรงี้
คิดว่าถ้าทำได้ตามนี้หมด + แม่ค้ามีอัธยาศัยดีในการตอบคำถามลูกค้าหรือรับมือลูกค้าขี้เหวี่ยง ก็จะทำให้ร้านค้าของคุณบน Facebook ไปได้ด้วยงามทีเดียวจ้ะ แถมลูกค้าสมัยนี้ ใช้ดีเค้าก็ยินดีบอกต่อไปยังญาติมิตรเพื่อนฝูงด้วยนะเอ้อ