ท่ามกลางเสียงลือเสียงเล่าอ้างที่ว่า Facebook ทำการลดจำนวนการเข้าถึงของเพจ ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถเห็นโพสต์ของเพจได้ แม้จะกดไลค์เพจนั้นไปแล้วก็ตาม เรื่องนี้ได้ถูกนำมาเป็นประเด็น (และมีข่าวว่าให้แก้ด้วยการ Add เข้า Interests Lists ไปหลายวันก่อน ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนะจ๊ะ) วันนั้นได้บอกแล้วว่าเรื่องนี้เราไม่รู้เลยว่า Facebook ทำการลดเปอร์เซ็นต์การเข้าถึงเพจจริงหรือไม่ แต่วันนี้มีคำตอบมาฝากกันแล้วฮับ 
โดยคนที่มาแถลงข้อเท็จจริง (ให้สื่อนอกฟัง) ก็คือ Will Cathcart ที่เป็น Facebook’s news feed product manager มาเล่าให้สื่อฟังว่า ปัญหาในตอนนี้ที่ทางทีมงานพบก็คือ หน้า news feed เนี่ย เป็นหน้าที่ผู้ใช้เข้ามาดูใน Facebook ทุกๆ วัน แต่ผู้ใช้ไม่ได้มีเวลาที่จะมาเช็กหรือมาอ่านทุกๆ อย่างที่มันทีอยู่ ลองนึกภาพว่าถ้าเรามีเพื่อนหลายร้อยคนแล้วกดไลค์เพจหลายร้อยเพจ ถ้าทุกๆ อย่างมันขึ้นมาใน news feed จริง มันคงมีโพสต์หลั่งไหลเป็นสายน้ำจนเราอ่านไม่ทัน Facebook ก็เลยมีการกรองโพสต์จากหน้าเพจที่จะมาโชว์ใน news feed ของผู้ใช้ โดยมี 4 ปัจจัยในการพิจารณาก็คือ
- ถ้าผู้ใช้มีปฏิสัมพันธ์กับโพสต์ก่อนหน้านี้ เช่นกดไลค์ทุกโพสต์จากเพจที่ Facebook เอามาโชว์ มันก็จะโชว์โพสต์จากเพจนั้นมากขึ้น
- ปฏิกริยาของคนอื่นๆ ในโพสต์บางโพสต์ ถ้ามีกลุ่มคนที่เห็นโพสต์นั้นแต่ไม่สนใจ, กด ignore หรือ complain โพสต์นั้นๆ เราก็จะไม่ค่อยได้เห็นโพสต์นั้นในฟีดของเรา
- ถ้าเราเคยมีปฏิสัมพันธ์กับโพสต์ในประเภทเดิมๆ ซ้ำๆ เช่น ไลค์รูปของเพจนั้นอยู่ตลอด เราก็จะมีโอกาสได้เห็นรูปที่ถูกโพสต์โดยเพจนั้นๆ มากขึ้น
- ถ้าโพสต์นั้นมีการกด report จากผู้ใช้ที่เห็นโพสต์ หรือเพจที่มีคนรุม report มากๆ ในอดีต เราก็จะไม่ค่อยเห็นโพสต์จากเพจนั้นเหมือนกัน ข้อนี้ถูกนำมาใช้เป็นปัจจัยในการกรองเพจมากขึ้น โดยเริ่มขึ้นในเดือน ก.ย. 2012 ที่ผ่านมา
Facebook มีการเปลี่ยนอัลกอริทึมของ news feed อยู่เป็นประจำ หรือที่เรียกว่าค่า EdgeRank ที่เหมือนกับ Google มี PageRank นั่นแหละ Facebook บอกว่าการปรับปรุงครั้งนี้ทำขึ้นเพื่อช่วยเพิ่มน้ำหนักให้กับโพสต์ที่ผู้ใช้สนใจจริงๆ และอาจจะทำให้เพจบางเพจโดนลดจำนวนการเข้าถึง (reach) ไปบ้าง แต่ผู้ใช้ยังมีปฏิสัมพันธ์และสนใจหน้า news feed มากขึ้นกว่าเดิมนะ
สรุปก็คือ Facebook ได้มีการปรับอัลกอรึทึมของหน้า Feed จริงๆ ในเดือนกันยายน ผู้ใช้สามารถคลิกเพื่อซ่อนโพสต์หรือ report spam โพสต์ต่างๆ ได้ โดยยิ่งโพสต์ของเพจที่ถูก report มากเท่าไหร่ โอกาสที่จะโดนแบนหรือหายต๋อมไปจากหน้า news feed ของผู้ใช้ทุกคนก็ยิ่งมีมากขึ้น แต่ท้ายที่สุด Carhcart ก็บอกว่า การปรับอัลกอริทึมครั้งนี้ ไม่ได้มีผลต่อค่ามัธยฐานของเพจทั้งหมดซักเท่าไหร่ แต่สิ่งที่จะมีผลกระทบกับเพจก็จะแตกต่างกัน ขึ้นกับว่าเพจเหล่านี้ถูกเชื่อมต่อกับใคร และโพสต์ของเพจเหล่านี้ที่ไปโผล่ในหน้าผู้ใช้ มีกระแสตอบรับไปทางไหน
คนที่ดูแลเพจทั้งหลายก็ลองไปปรับกระบวนท่าในการโพสต์กันเองนะฮับ แต่ที่แน่ๆ เค้าไม่ได้ลดจำนวนคนเข้าเพจ 10% อะไรงี้นะฮะ เลิก Forward ข่าวนี้กันได้แล้วเด้อค่ะเด้อ 
ป.ล. คุณ Cathcart แกใช้แผนภาพโยดามาอธิบายเรื่อง news feed ด้วยนะ แต่อ่านแล้วไม่เข้าใจ ถ้าใครเข้าใจก็คอมเมนต์มาให้อ่านหน่อยแล้วกันนะฮับ แปะเป็นภาษาอังกฤษห้วนๆ เลยละกัน ฮ่า
Cathcart used a Star Wars-themed example to explain how these work. Let’s say Darth Vader posts that he and Luke Skywalker have confirmed that they are father and son. To determine if Yoda saw this post in his news feed, Facebook would look at: whether Yoda had Liked or interacted with posts by Vader in the past, if Leia and Han Solo Liked the relationship post by Vader when Facebook showed it to them, whether Yoda tended to interact with relationship change posts in the past, and whether anyone else had complained about Vader or this particular post by the Sith Lord.
ป.ล. จากคอมเมนต์ คุณ Srisak Pitaktapanapong อธิบายเข้าใจง่ายดี เลยขอยกมาแปะหน่อยฮับ
ที่มา – TechCrunch
